วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ภาพของภาพกล้องวงจรปิดยังดีเยี่ยม



Video Compression ตัวช่วยลดขนาด แต่คุณภาพของภาพกล้องวงจรปิดยังดีเยี่ยม

ข้อมูลของภาพจากกล้องวงจรปิดทั้งที่เป็นภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำ เทคโนโลยีการบีบอัดภาพ หรือ Video Compression” เข้ามาช่วย เพื่อลดขนาดข้อมูลภาพ แต่ยังคงคุณภาพของภาพให้ใกล้เคียงภาพต้นฉบับมากที่สุด และยังช่วยทำให้เหลือพื้นที่ในการบันทึกภาพมากขึ้น  ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีการบีบอัดภาพที่นิยมนำมาใช้กับกล้องวงจรปิดอยู่ 3 ประเภท ได้แก่

  • MJPEG หรือ Motion JPEG : เป็นการใช้เทคโนโลยีบีบอัดภาพแบบ JPEG กับภาพแต่ละ Frame แล้วนำมาแสดงผลอย่างต่อเนื่อง ทำให้มองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว รูปแบบเดียวกับการสร้างภาพการ์ตูน ซึ่งภาพเคลื่อนไหวที่ได้จากเทคโนโลยีนี้จะมีคุณภาพสูง เพราะมีการให้ความสำคัญกับความละเอียดของภาพ แต่ละ Frame เป็นอิสระต่อกัน แต่มีไฟล์ข้อมูลที่หนักส่งผลทำให้การจัดเก็บในฮาร์ดดิสก์ค่อนข้างจะกินพื้นที่มาก ส่วนการส่งผ่านข้อมูลภาพในเครือข่าย LAN หรือผ่าน Internet จะกิน Bandwidth ค่อนข้างมาก
  • MPEG-4 หรือ MPEG-4 Part 2 : มีหลักการในการบีบอัดหรือลดขนาดของภาพ คือ ส่วนการประมวลผลจะมองภาพเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นกลุ่มๆ ในแต่ละกลุ่มจะประกอบด้วยภาพหลายๆ Frame เรียกว่า Group of Picture(GOP) เริ่มต้นจากการจัดเก็บภาพแรกไว้ก่อน เรียกว่า Key Frame หรือ i-frame จากนั้นจะตรวจสอบย่อยๆ คือ block โดยแต่ละ block ใน key frame เปรียบเทียบกับ frame ถัดๆ ไป คือ p-frame กับ b-frame ว่ามี block ใดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจาก i-frame จึงจะทำการอัพเดทภาพนั้นๆ ด้วยการส่งเฉพาะ block ที่มีการเปลี่ยนไปให้เพื่อจัดเก็บหรือแสดงผลภาพที่อุปกรณ์ปลายทาง อาจจะเป็นเครื่องบันทึก NVR, โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ หาก Group of Picture มีขนาดใหญ่ i-frame จะมีจำนวนน้อย ซึ่งจะช่วยทำให้ Bit rate ลดน้อยลง ระบบจะใช้ Bandwidth น้อยลง เทคโนโลยีการบีบอัดภาพแบบ MPEG-4 ให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องของภาพมากกว่าความละเอียดของภาพ จึงทำให้การดูภาพพร้อมกับเสียงมีความใกล้เคียงกันมาก นอกจากนี้ยังใช้พื้นที่ในการจัดเก็บเคลื่อนไหวน้อยกว่าแบบ Motion JPEG สำหรับการส่งข้อมูลผ่าน LAN หรือ Internet จะกิน Bandwidth น้อยกว่า 

 ที่มาของภาพ 2mcctv.com 

  •  H.264 หรือ MPEG-4 Part 10 : นอกจากใช้เทคนิคแบบเดียวกับ MPEG-4 Part 2 แล้ว เทคโนโลยี H.264 ยังใช้วิธีการสร้างภาพด้วยการแบ่ง block ออกเป็นพื้นที่ย่อยๆ 4x4 pixel แล้วสร้างภาพในพื้นที่ดังกล่าวด้วย pixel รอบๆ บริเวณนั้น ทั้งในแนวตั้ง แนวนอน และแนวทแยง การสร้างวิธีนี้จะช่วยลดขนาดของไฟล์ข้อมูลได้ โดยจะลดขนาดได้ถึง 80% เมื่อเปรียบเทียบกับ MJPEG (Motion JPEG) และลดได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับ MPEG-4 นอกจากนี้ยังมีเทคนิค Motion Compensation ที่สามารถกำหนดขนาดและรูปร่างของ block ได้ เมื่อต้องการค้นหา block ที่เหมือนกันในการส่งข้อมูล motion vector และหากไม่สามารถค้นหา matching block ใน i-frame ส่วนประมวลผลสามารถไปค้นหาจาก block อื่น ๆ ภายใน frame เดียวกันได้ และเพื่อแก้ปัญหาภาพแตกเมื่อแสดงผลจะมีการใช้ Deblocking Filter เป็นการคำนวณหาค่าเฉลี่ยของสีที่บริเวณขอบรอยต่อระหว่าง block แล้วปรับ Pixel ที่รอยต่อระหว่าง block ทำให้ภาพที่ได้มีความเนียนมากขึ้น

แม้จะลดขนาดไฟล์ แต่คุณภาพของภาพยังดีเหมือนเดิม นี่คือ Video Compression

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

CCD และ CMOS หัวใจสำคัญของกล้องวงจรปิด



CCD และ CMOS หัวใจสำคัญของกล้องวงจรปิด
            หัวใจสำคัญของกล้องวงจรปิดทุกตัว ทุกยี่ห้อ ที่มีเหมือนกัน คือ เซ็นเซอร์รับภาพ ที่มีหน้าที่รับแสงที่เข้ามาแล้วเปลี่ยนค่าแสงนั้นให้กลายเป็นสัญญาณดิจิตอล ซึ่งปัจจุบันมี “CCD” และ “CMOS” เป็นเซ็นเซอร์รับภาพที่ได้รับความนิยม

            CCD ย่อมาจาก Charge Coupled Device การทำงานจะให้เซ็นเซอร์ในแต่ละพิกเซลรับแสงมาและเปลี่ยนค่าแสงเป็นสัญญาณอนาล็อก จากนั้นจึงส่งเข้าสู่วงจรเปลี่ยนค่าอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตอล

            CMOS ย่อมาจาก Complementary Metal Oxide Semiconductor เป็นเซ็นเซอร์ที่ได้รับการพัฒนามาจากเทคโนโลยีสารกึ่งตัวนำ ภายในชิปจะมีเซ็นเซอร์เล็กๆ จัดเรียงกันเป็นจำนวนมาก มีหน้าที่รับแสง จากนั้นแปลงสัญญาณแสงให้เป็นสัญญาณดิจิตอลในทันที


ข้อเปรียบเทียบระหว่างเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD และแบบ CMOS
-         ชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD ผลิตด้วยเทคโนโลยี IC wafer จึงทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงกว่าชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CMOS ที่ผลด้วยเทคโนโลยีสารกึ่งตัวนำ
-         ภายในเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD มีแต่วงจรที่ทำหน้าที่รับแสงเพียงอย่างเดียว ส่วนเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CMOS มีทั้งส่วนที่ทำหน้าที่รับแสง และแปลงสัญญาณ ดังนั้นแม้จะมีขนาดพื้นที่เท่ากัน แต่เซ็นเซอร์รับแสง CCD ก็มีความไวแสงสูงกว่าแบบ CMOS เพราะมีส่วนที่รับแสงได้มากกว่า
-         เซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD มีความเร็วในการทำงานน้อยกว่าแบบ CMOS เพราะต้องเสียเวลาในการส่งสัญญาณไปแปลงค่า ขณะที่เซ็นเซอร์รับแสงแบบ CMOS ไม่ต้องทำ เพราะสามารถจัดการแปลงเสร็จได้ด้วยตัวเอง
-         คุณภาพของชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD ดีกว่าแบบ CMOS เพราะแม้มีพื้นที่เท่ากัน แต่ CCD สามารถรับแสงได้มากกว่า จึงมีความละเอียดมากกว่า ให้เส้นแสงที่คมชัดกว่า และให้สีเหมือนจริงมากกว่า
-         ชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD มี Signal to noise ratio สูงกว่า จึงมีสัญญาณรบกวนภาพน้อยกว่าชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CMOS
-         ชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD มีช่วงกว้างในการรับแสงกว้างกว่า ทำให้สามารถรับแสงได้ตั้งแต่แสงเหนือม่วง (Ultraviolet - UV) ไปจนถึงแสงใต้แดง (Infrared - IR)
-         ชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD ใช้พลังงานมากกว่าชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CMOS เนื่องจากต้องมีวงจรแปลงสัญญาณเพิ่มขึ้นมา
-         ชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CCD มีข้อได้เปรียบกว่าชิปเซ็นเซอร์รับแสงแบบ CMOS ในเรื่องความแข็งแรงของสัญญาณ  เพราะมีสัญญาณรบกวนภาพน้อยกว่า จึงทำให้สามารถส่งผ่านสัญญาณไปได้ในระยะที่ไกลมากกว่า นอกจากนี้ยังสามารถรักษาคุณภาพของภาพเอาไว้ได้ โดยที่ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมใดๆ มาช่วย
ชิปเซ็นเซอร์รับแสงทั้งแบบ CCD และแบบ CMOS ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน
ดังนั้นจึงควรเลือกให้เหมาะกับความต้องการใช้งานของกล้องวงจรปิด

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กล้องวงจรปิดกับสายไฟเบอ

การติดตั้งกล้องวงจรปิดชนิดไอพีกับสายไฟเบอ



ทางบริษัทเราได้มีโอกาสในการเดินสายไฟเบอออฟติกเพื่อนำสัญญาณภาพครับโดยการเดินสายค่อนข้างที่จะยากมากเนื่องจากสายเป็นแก้วเลยต้องระวังกันบ้างเพราะถ้าดึงสายแรงก็จะหักในแก้วแตกคือจบกันต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสายซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างที่จะแพงเอาการเลยทีเดียว
ส่วนวิธีการเดินสายนั้นเราต้องตั้งโลเพื่อให้สายได้มีการดึงตัวน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระชากของสาย ต้องใช้คนจำนวนค่อนข้างมากในการดึงสายเป็นช่วงๆในการเดินสายหลังจากนั้นต้องเอาขึ้นเสาไฟและพักเป็นช่วงๆที่จะติดตั้งกล้องไอพี หลังจากนั้นเราต้องเข้ามาทำหัวสายและใส่บล็อกพักกันพร้อมกับอุปกรณ์ลงตู้ควบคุมของเราที่ตั้งไว้ ถ้าทางเราติดตั้งเสร็จจะนำภาพมากฝากเพิ่มเติมนะครับ ติดตามเราต่อได้ที่ http://okami.co.th

ความแตกต่างของกล้องวงจรปิดแต่ล่ะชนิด



ความแตกต่างของกล้องวงจรปิดแบบ Analog กับ IP Camera
กล้องวงจรปิดในปัจจุบันมีหลากหลายรุ่น หลากหลายประเภทให้เลือก ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนว่าต้องการกล้องวงจรปิดแบบไหนไปใช้งาน ในบทความนี้จะพูดถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างกล้องวงจรปิดแบบ Analog และ กล้องวงจรปิดแบบ IP Camera ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
1. เรื่องของความคมชัด ความคมชัดของกล้องวงจรปิดแบบ Analog จะมีความคมชัดในรูปแบบของ TVL ซึ่งถ้ามี TVL มากความคมชัดก็จะมาก แต่ถ้ามี TVL น้อยความคมชัดก็จะน้อย โดยในปัจจุบัน TVL สูงสุดจะอยู่ที่ 700-750 TVL แต่ในส่วนของกล้องวงจรปิดแบบ IP Camera จะมีความคมชัดในรูปแบบของ Megapixel ซึ่งจะเป็นภาพแบบการเรียงตัวของจุดซึ่งจะให้ภาพชัดเจนกว่า TVL มากกว่ามาก ซึ่งในปัจจุบัน ความคมชัดจะมีตั้งแต่ 1.3 Megapixel – 3 Megapixel ยิ่ง Megapixel มากความคมชัดก็จะมากตามไปด้วย
2. เรื่องของราคา ราคาของกล้องวงจรปิดแบบ Analog จะมีราคาถูกกว่ากล้องวงจรปิดแบบ IP Camera มาก เพราะเกี่ยวเนื่องไปถึงความคมชัด ถ้ายิ่งมีความคมชัดมากราคาก็จะแพง แต่ถ้าความคมชัดน้อยราคาก็จะถูกลง
3. เรื่องของการเดินสาย ในส่วนของการเดินสายการเดินสายของกล้องวงจรปิดแบบ Analog จะต้องเดินสาย RG-6 ควบคู่กับสายไฟทำให้เปลื้องสายเป็นอย่างมากและอาจทำให้ให้สัญญาณถูกรบกวนได้ง่าย แต่ถ้าเป็นการเดินสายของกล้องวงจรปิดแบบ IP Camera จะใช้สายแลนเดินเส้นเดียว ทำให้ประหยัดสายมากกว่า และการถูกรบกวนของสัญญาณมีน้อยกว่า


4. เรื่องของรูปทรงของกล้องวงจรปิด ในเรื่องของรูปทรงกล้องวงจรปิดแบบ Analog จะมีการออกแบบแบบเก่าและดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นกล้องวงจรปิดแบบ IP Camera จะมีการออกแบบรูปทรงที่ทันสมัยมากกว่า